UFABETWINS เรายืนดูจากวิวริมขอบสนาม ภาพในวันนี้ของ “เจ.โอ.” รัชเดช เครือทิวา อดีตชูตติงการ์ดดีกรีทีมชาติไทย อาจดูแปลกตาไปจากเดิมที่เราเคยเห็นเขาจากในทีวี

เขาไม่ได้ใส่เสื้อกล้ามเหมือนนักบาสเกตบอล เพราะรีไทร์จากอาชีพนี้ไปตั้งแต่ปี 2018 ปัจจุบันเขาสวมเสื้อแขนสั้น ทำหน้าที่ “โค้ช” ผู้สอนตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงนักกีฬาอาชีพ เราไม่เคยสงสัยในความสามารถของ เจ.โอ. รัชเดช เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยมีนักบาสเกตบอลไทยคนไหนก้าวไปเล่นลีกอาชีพสหรัฐอเมริกาได้แบบเดียวกับเขา การพูดคุยกับ เจ.โอ. รัชเดช ทำให้เราได้เห็นว่า “หงาดเหงื่อ” และ “รอยแผล” คือสองอย่างที่ทำให้ชายคนนี้เติบโตขึ้นมา

อย่างกล้าแกร่ง เขาฝึกฝนทุ่มเทอย่างสุดตัวกับบาสเกตบอลตั้งแต่อายุยังน้อย ขณะเดียวกัน ความผิดหวังและเจ็บปวด ก็ได้สอนให้เขาเข้าใจว่า ชีวิตคนเรามันไม่มีอะไรแน่นอน ต้องเตรียมพร้อมรับมือ หากวันหนึ่งเจอกับเรื่องไม่คาดฝัน และอยู่ให้ได้ “คุณก้าวผ่านความเจ็บปวดและผิดหวังครั้งใหญ่ขนาดนั้นมาได้อย่างไร?” นั่นคือคำถามที่ค้างในใจผู้เขียนตั้งแต่ก่อนเดินทางมาสนทนา และคำตอบอาจอยู่ในไม่กี่นาทีต่อจากนี้

ขณะที่คุณอ่านบทสัมภาษณ์จนถึงบรรทัดสุดท้าย คุณเคยบอกว่า บาสเกตบอล เป็นพื้นฐานของความสำเร็จทุกอย่างในชีวิต เพราะอะไร? คุณพ่อใช้บาสเกตบอลเพื่อขัดเกลาตัวผม และผมเรียนรู้ทุกอย่างในชีวิตผ่านบาสเกตบอล ผมเติบโตมาในย่านที่เป็นชานเมือง ภายในจังหวัดอ่างทอง ละแวกนั้นไม่ใช่ชุมชน ผมจึงมีเพื่อนคนเดียวคือ “บาสเกตบอล” ที่คุณพ่อชอบ ผมถูกปลูกฝังให้เล่นอย่างจริงจังตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ผมอยู่กับมันทุกวัน “จันทร์-ศุกร์”

UFABETWINS

รีบตื่นแต่เช้าไปโรงเรียน เพื่อจะได้เล่นก่อนเคารพธงชาติ, พักเที่ยงผมก็อยู่กับบาสฯ เลิกเล่นตอนเย็นยังไม่ทันเอากระเป๋าไปเก็บในบ้าน ผมก็ต้องซ้อมต่อ พอถึงบ้าน ผมก็เล่นบาสอีก เพราะคุณพ่อสร้างสนามให้ ตอนนั้นมันก้าวข้ามคำว่า สนุก, ชอบ, รัก ไปสู่ระดับที่หนักสำหรับเด็ก 10 ขวบ “วันเสาร์-อาทิตย์” ผมอยากดูการ์ตูนตอนเช้าเหมือนคนอื่น แต่ทำไม่ได้ เพราะเราต้องฝึกชู้ตให้ได้ตามจำนวนที่กำหนดไว้ เบื่อแค่ไหนก็เลิกไม่ได้ ต้องทำให้จบ ทำให้ครบ

พอมองย้อนกลับไป มันเป็นการฝึกนิสัย ระเบียบวินัย ความรับผิดชอบ และการเอาชนะใจตัวเองได้ดีมากเลย ผมได้นิสัยเหล่านี้มาจากการที่ผมพยายามเข้าหาบาสเกตบอลทุกวัน โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย การฝึกฝนอย่างหนักหน่วง เป็นรากฐานที่ทำให้คุณเป็นดาวรุ่งที่ถูกจับตามองตั้งแต่วัยรุ่น แต่อาการบาดเจ็บหนักถึง 3 ครั้งในอาชีพ คงเป็นสิ่งที่ฉุดรั้งความก้าวหน้าในอาชีพคุณไม่น้อย โดยเฉพาะครั้งแรก สำหรับเด็กอายุ 18 ปี มันรับมือยากแค่ไหน? ตอนอายุ 14 ปี

ผมมีความฝันอยากเล่นลีกอาชีพที่ไหนก็ได้สักแห่งในโลก มาเลเซีย, สิงคโปร์ หรือ ฟิลิปปินส์ ขอแค่ขึ้นชื่อว่าเป็นอาชีพ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า คนไทยก็สามารถทำได้ ตอนนั้นผมไม่เคยบอกเล่าความฝันนี้กับใครเลย เพราะรู้ดีว่าคนที่ได้ยินก็คงขำ และได้คำตอบที่ไม่อยากได้ยินสักเท่าไร ยุคนั้นเมื่อ 20 กว่าปีก่อน อย่าว่าแต่บาสเกตบอล ขนาดฟุตบอลก็ยังไม่เป็นลีกอาชีพในไทยเลย ผมเลยอยากทำให้ได้ เพราะถ้าผมทำได้ คนไทยคนอื่นก็สามารถไปเล่นได้เช่นกัน

ผมมีความเชื่อแบบนี้มาตลอด จนกระทั่งผมมาเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด นั่นคือ ได้รับบาดเจ็บลูกสะบ้าเข่าหลุดออกมา ระหว่างเล่นให้ทีมนักเรียนไทย จังหวะนั้นไม่ได้โดนใครกระแทกเลย เป็นแค่การกระโดดธรรมดา แต่ตอนลงมา ได้เสียงดังป๊อก ผมเห็นภาพลูกสะบ้าตัวเองจากที่อยู่ด้านหน้าเข่า มันเคลื่อนไปอยู่ด้านหลัง เกิดเครื่องหมายคำถามในหัวผมเต็มไปหมดเลย แล้วชีวิตจะไปไหนทางไหนต่อ? ต้องเลิกเล่นบาสจริงๆใช่ไหม? เพราะภาพมันดูรุนแรงเหลือเกิน

อีกอย่างตอนนั้นเป็นช่วงรอยต่อพอดี ผมกำลังจบ ม.ปลาย เข้าเรียนต่อมหา’ลัย ที่ผ่านมา ผมหวังใช้บาสเกตบอล เพื่อเอาโควต้าเข้าเรียนต่อมาโดยตลอด พอเราไม่มีสิ่งนี้แล้ว เหมือนคนสูญเสียที่พึ่ง ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่าควรทำอย่างไรต่อดี? ผมจึงตัดสินใจเลิกเล่น และเข้าศึกษาต่อที่คณะพลศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยที่ก็ไม่รู้ตัวเอง เรียนจบแล้วอยากเป็นอะไรต่อ เพราะชีวิตผมมีเป้าหมายเดียว คือเป็นนักบาสเกตบอลอาชีพ จากวันนั้นที่คิดว่าคุณจบเห่

ในเส้นทางนักบาสเกตบอลอาชีพแล้ว คุณคัมแบ็กกลับเล่นต่อ จนได้ไปเข้าสู่ลีกอาชีพอเมริกาได้อย่างไร? วิชาความรู้ที่ผมได้รับจากรั้วมหา’ลัย ทำให้ผมได้รู้ว่า อาการบาดเจ็บสะบ่าหลุดข้างขวาไม่ได้รุนแรงมากอย่างที่ผมคิด ผมสามารถฟื้นฟูจนหายดี และกลับมาเล่นได้ หลังหยุดไป 1 ปี ผมก็เล่นให้สโมสรในไทยมาเรื่อยๆ โดยที่ไม่ยังเคยละทิ้งเป้าหมาย นั่นคือ การเล่นอาชีพในต่างประเทศ ระหว่างนั้นผมไม่ได้ต่อสู้แค่เรื่องบาสฯ อย่างเดียว ผมต้องสู้สิ่งแวดล้อมรอบตัว

UFABETWINS

สู้กับความสงสัยของคนอื่นด้วยว่า “จะเล่นบาสฯจริงจังไปทำไม?” ได้ติดทีมชาติไทย ก็น่าจะโอเคแล้ว ควรหางานประจำอย่างอื่นทำควบคู่ไปด้วยไหม? เล่นบาสอย่างเดียวมันไม่รอดหรอก ในขณะที่ตอนนั้นไม่มีใครเชื่อว่า คนไทยจะไปเล่นบาสอาชีพเป็นอาชีพได้ แต่คุณกลับเชื่อมั่นว่าตัวเองจะต้องทำได้ในสักวันหนึ่ง? ผมเชื่อ ผมลงมือทำ และมี Exit Plan ด้วย คุณมีความฝัน และตั้งเป้าหมายที่เกินตัวคุณได้ แต่คุณไม่สามารถดึงดันทำมันได้ตลอด

(เอากำปั้นชนกับฝ่ามืออีกข้างตัวเอง 3 ครั้ง) เพรามันไม่ใช่สิ่งเดียวในชีวิตคุณ คุณต้องมีครอบครัว และชีวิตด้านอื่นๆ ผมตั้ง Exit Plan ไว้ที่อายุ 28 ปี ถ้าถึงตอนนั้นผมยังไปไม่ถึงเป้าหมาย ผมจะเลิกเล่นแล้วไปหางานอย่างอื่นแทน ต่อให้คุณเป็นนักบาสเกตบอลที่เก่งสุดในไทย แต่ถ้าคุณไม่สำเร็จตามเป้าหมาย คุณจะเลิกเล่น? แน่นอน เพราะผมเป็นมนุษย์ และสุดท้ายเรามีโลกที่มากกว่าแค่บาสเกตบอล โชคดีเมื่อปี 2008 ผมบรรลุเป้าหมายก่อนอายุถึง Exit Plan

ตอนนั้นสโมสร แมรี่แลนด์ ไนท์ฮอว์กส์ ใน Premier Basketball League (PBL) ซึ่งเป็นลีกอาชีพแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา กำลังมองหานักบาสไทยหนึ่งคนไปร่วมทีม และกลายเป็นผมที่ถูกเลือก คิดว่าอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้คุณถูกเลือกจากสโมสรแมรี่แลนด์? ความโชคดี ปีแรกมันเป็นความโชคดีล้วนๆที่ได้ไปเล่นอาชีพที่อเมริกากับทีมแมรี่แลนด์ แต่ปีที่สอง ผมได้ย้ายไปเล่นให้ รอเชสเตอร์ เรเซอร์ชาร์คส์ ซึ่งเป็นทีมระดับแชมป์ (เจ้าของสถิติแชมป์มากสุดของลีก PBL)

อันนั้นไม่ใช่ความโชคดี แต่เกิดจากการที่ผมไม่ทิ้งโอกาสที่ตัวเองได้รับ ปีแรกผมไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนามสักเท่าไร แต่ทุกครั้งที่ลง ผมเต็มที่ ในวันที่ทีมผม แมรี่แลนด์ตกรอบเพลย์ออฟ เฮดโค้ชของ รอเชสเตอร์ เดินเข้ามาหาผมบอกว่า “เฮ้! ทำไมยูไม่ค่อยได้ลงสนาม? ปีหน้ายูมาเล่นกับไอไหม?” นั่นแปลว่า เมื่อผมได้โอกาสแล้ว ผมไม่ปล่อยให้มันหลุดมือ ผมไม่ต้องการเป็นแค่คนไทยคนแรกที่ได้ไปเล่นบาสอาชีพที่อเมริกา เพราะผมได้เป็นอยู่แล้ว

แต่ผมต้องการรักษาโอกาสที่ตัวเองได้ เพื่อจะอยู่เล่นที่อเมริกาให้นานที่สุด ผมสอนเด็กทุกคนเสมอว่า โอกาสมันต้องเท่ากับความสามารถ ถ้าโอกาสที่คุณได้รับมันใหญ่มาก แต่ความสามารถที่คุณมีเล็กนิดเดียว ยังไงก็ไม่มีทางฟิตกัน สักวันหนึ่งมันต้องหลุดไปไม่ทางใดทางหนึ่ง นักบาสจากอาเซียนคนหนึ่งต้องพบเจออะไรบ้างสำหรับปีแรกของการเล่นลีกอาชีพในชาติที่เก่งบาสเกตบอลที่สุดในโลก? ผมรู้อย่างหนึ่งว่า สังคมอเมริกา ถ้าคุณมีความสามารถจริง

คุณไม่ต้องกลัวอะไรเลย ตอนแรกผมก็หวั่นว่าจะโดนเหยียดสีผิว, เชื้อชาติหรือเปล่า? แต่ส่วนใหญ่ผมจะถูกตั้งคำถามจากเพื่อนร่วมทีมมากกว่า เช่น ยูดังค์ได้ไหม? ทำแบบนั้นทำแบบนี้ได้หรือเปล่า? เราก็ต้องทำให้พวกเขาเห็นว่า คนไทยทำได้หมดแหละ หรือไม่ก็โดน Make Joke

เช่น ประเทศไทยยังขี่ช้างกันอยู่หรือเปล่า? ผมเป็นคนไทย แรกๆเรานอบน้อมนะ แต่พอโดนถามบ่อยๆ บางทีก็ต้องตอบโต้บ้าง เช่น เวลาเขาถามว่า คนไทยทำท่าพวกนี้ได้เยอะไหม? ผมก็จะตอบไปว่า “อ๋อ เยอะแยะเต็มไปหมด ไอกระจอกสุดในไทยแล้ว” (หัวเราะ)

 

คลิ๊กเลย >>>  https://www.ufabetwins.com/

อ่านข่าวเพิ่ม >>>  บ้านผลบอล